ถ้ำแมงป่องดำดึงดูดนักผจญภัยในซาอุดิอาระเบีย

ถ้ำแมงป่องดำในซาอุดีอาระเบียกำลัง ได้รับความนิยม อย่างรวดเร็วในฐานะสถานที่ใหม่สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย ผู้ที่ชื่นชอบการสำรวจถ้ำจะได้พบกับถ้ำแห่งนี้ซึ่งอยู่ห่างจากเขตปกครองราฟฮาไปทางตะวันตก 160 กิโลเมตร ทางตอนเหนือของราชอาณาจักร ถ้ำตั้งอยู่ในเมืองอัลฮับกา ซึ่งเป็นหมู่บ้านของซาอุดีอาระเบีย ตั้งอยู่ใกล้กับชายแดนซาอุดีอาระเบีย-อิรักโดยเฉพาะ และเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองในภูมิภาคชายแดนเหนือ ภูมิภาคชายแดนเหนือมีประชากรน้อยที่สุดในซาอุดีอาระเบีย ผู้คนยังรู้จักสถานที่แห่งนี้ในชื่อ อัลฮุดูด อัชชามาลียะห์ (Al-Hudud ash Shamaliyah)

เกี่ยวกับถ้ำแมงป่องดำ

ตามข่าวเผยแพร่ของสำนักข่าวซาอุดีอาระเบีย ถ้ำแมงป่องดำมีความลึกมากกว่า 500 เมตร ชื่อของถ้ำมาจากลักษณะของทางเข้า ในวันเพ็ญที่ ¹⁵ ของทุกเดือนฮิจเราะห์ แสงในแนวนอนจะสะท้อนไปที่ทางเข้า ทำให้ ดูเหมือน ลำตัวของแมงป่องดำ นักผจญภัยสามารถเข้าไปในถ้ำแมงป่องดำได้ 3 วิธี คือ ทางเดินแคบๆ 3 ทางภายในถ้ำซึ่งมีความกว้างและความลึกที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ ถ้ำยังมีร่องลึกต่างๆ ที่ทอดยาวไปในทิศทางต่างๆ ด้วยลักษณะที่น่าสนใจ ทำให้ถ้ำแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรณีวิทยาและนิเวศวิทยาที่น่าสนใจ สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ ถ้ำอัลฮับกาเคยเป็นแหล่งน้ำในทะเลทรายเนื่องจากมีบ่อน้ำจำนวนมาก นอกจากนี้ ถ้ำแมงป่องดำยังทำหน้าที่เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์หลายสายพันธุ์ เช่น สุนัขจิ้งจอก หมาป่า และไฮยีนา ในปี 2022 ศูนย์สัตว์ป่าแห่งชาติซาอุดีอาระเบียพบซากไฮยีนาหลายตัว ทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งที่สำคัญสำหรับการอนุรักษ์สัตว์ป่า

ความสำคัญของพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ

Begess Al-Falih สมาชิกสมาคมดาราศาสตร์แห่งอาฟาคและผู้ชื่นชอบถ้ำกล่าวว่าทางการได้ค้นพบถ้ำและหลุมยุบ 542 แห่งในภูมิภาคชายแดนเหนือ ในเดือนพฤษภาคม 2024 ศูนย์สัตว์ป่าแห่งชาติ (NCW) ได้เริ่มโครงการสำรวจถ้ำในภูมิภาคนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะวางถ้ำของซาอุดีอาระเบียไว้บนแผนที่โลก และส่งเสริมการอนุรักษ์ทางประวัติศาสตร์และสัตว์ป่า NWC ได้บันทึก ถ้ำ ทั้งหมด 1,826 แห่งทั่วราชอาณาจักร นอกจากถ้ำแมงป่องดำแล้ว ยังมีสถานที่น่าสนใจอื่นๆ ที่ควรค่าแก่การไปเยี่ยมชมในภูมิภาคชายแดนเหนืออีกด้วย รายงานจากสำนักข่าวซาอุดีอาระเบีย ระบุ ว่าภูมิภาคนี้เป็น “ขุมทรัพย์ทางพฤกษศาสตร์” ตามที่ Nasser Al-Mujlad ประธานคณะกรรมการบริหารของสมาคมสิ่งแวดล้อมอามานในภูมิภาคชายแดนเหนือ กล่าว ภูมิภาคนี้มีพืชหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และโภชนาการ ด้วยเหตุนี้ ภูมิภาคนี้จึงมีศักยภาพอย่างมากสำหรับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและการสร้างโอกาสในการทำงาน ตัวอย่างเช่น ต้น Artemisia ซึ่งเติบโตได้สูงถึง 1.5 เมตร เป็นพืชที่มีกลิ่นหอมที่สำคัญ ผู้คนสามารถนำใบมาใส่ในชาเพื่อเพิ่มรสชาติและตกแต่งจานได้ ในขณะเดียวกัน ต้น Achillea ซึ่งเป็นพืชอีกชนิดหนึ่งในภูมิภาคนี้มีดอกสีเหลืองปกคลุมในฤดูใบไม้ผลิ เนื่องจากมีกลิ่นหอมที่น่ารื่นรมย์ ผู้คนจึงใช้ต้นนี้ตกแต่งบ้าน ภาพ: X/SPA Eng